จิกทะเล
จิกทะเล

จิกทะเล ชื่อสามัญ Fish
Poison Tree, Putat, Sea Poison Tree
จิกทะเล ชื่อวิทยาศาสตร์ Barringtonia
asiatica (L.) Kurz (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Agasta asiatica
(L.) Miers, Agasta indica Miers, Barringtonia butonica J.R.Forst. &
G.Forst., Barringtonia speciosa J.R.Forst. & G.Forst., Mammea asiatica L.,
Michelia asiatica (L.) Kuntze) จัดอยู่ในวงศ์จิก (LECYTHIDACEAE
หรือ BARRINGTONIACEAE)
สมุนไพรจิกทะเล มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ
ว่า จิกเล โดนเล (ภาคใต้), อามุง (มาเล-นราธิวาส)
เป็นต้น
ข้อควรรู้ ! : ต้นจิกทะเล
เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสมุทรสงคราม
ลักษณะของจิกทะเล
ต้นจิกทะเล จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ
มีความสูงได้ประมาณ 7-20 เมตร
แตกกิ่งก้านสาขาออกที่เรือนยอดของลำต้น เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบแตกกิ่งต่ำ
ซึ่งเป็นกิ่งที่มีขนาดใหญ่จะมีรอยแผลอยู่ทั่วไป
ซึ่งเป็นรอยแผลที่เกิดจากใบที่ร่วงหล่นไป เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลตาลหรือเทา แตกเป็นร่องตามแนวยาวและมีช่องระบายอากาศด้วย
ส่วนเนื้อไม้เป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ๆ
เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด หรือแพร่พันธุ์โดยที่ผลลอยไปตามน้ำ
มีอัตราการเจริญเติบโตปานกลางถึงเร็ว ขึ้นได้ในดินทั่วไป ชอบความชื้นปานกลาง
และแสงแดดแบบเต็มวัน มีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง พบได้ตั้งแต่มาดากัสการ์ อินเดีย
ศรีลังกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น ภูมิภาคมาเลเซียรวมถึงฟิลิปปินส์
หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ไปจนถึงทางภาคเหนือของออสเตรเลีย
และในหมู่เกาะโพลีนีเซีย
ส่วนในประเทศไทยพบขึ้นมากตามป่าชายหาดของฝั่งทะเลและตามเกาะที่ยังไม่ถูกรบกวนทางภาคใต้

ใบจิกทะเล ใบเป็นใบเดี่ยว
ออกเรียงเวียนสลับกันไปตามข้อต้น ลักษณะของใบเป็นรูปมนรี รูปไข่กลับ
หรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ปลายใบมนเว้า โคนใบสอบเข้าหาก้านใบ ส่วนขอบใบเรียบ
ใบมีขนาดกว้างประมาณ 10-18 เซนติเมตร
และยาวประมาณ 20-38 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียว
เนื้อใบหนาเกลี้ยงเป็นมันวาวด้านบน เส้นแขนงใบมีข้างละ 12-14 เส้น นูนทั้งสองด้าน ก้านไม่มีหรือก้านใบสั้น ยาวได้ประมาณ 5 มิลลิเมตร


ดอกจิกทะเล
ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะตามส่วนยอดของลำต้น ตั้งตรง ช่อหนึ่งจะมีดอกอยู่ประมาณ 7-8
ดอก ช่อดอกยาวประมาณ 2-15 เซนติเมตร แกนช่อหนา
ดอกเป็นสีขาวและมีกลิ่นหอม เกล็ดหุ้มยอดเป็นรูปไข่ ยาวประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร มีใบประดับเป็นรูปไข่ ยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร
ใบประดับย่อยมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร
ก้านดอกย่อยยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ฐานรองดอกเป็นรูปกรวยสั้น
ๆ ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงติดกันตาดอก
บานแยกออกเป็น 2 ส่วนไม่เท่ากัน ลักษณะเป็นรูปรี ติดทน
ยาวได้ประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร ปลายเป็นติ่ง ยาวประมาณ 2
มิลลิเมตร ส่วนกลีบดอกเป็นสีขาวอมชมพูมี 4 กลีบ
ติดที่โคนหลอดเกสรเพศผู้ กลีบเป็นรูปรี ปลายกลีบมน ขอบมักม้วนเข้า ยาวประมาณ 4.5-6.5
เซนติเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก สีแดง สีชมพู หรือสีม่วง
เรียงเป็น 6 วง ยาวได้ประมาณ 9.5 เซนติเมตร
วงในเป็นหมัน ยาวประมาณ 2-3.5 เซนติเมตร
โคนก้านเกสรติดกันเป็นหลอด ยาวได้ประมาณ 1.5 เซนติเมตร
จานฐานดอกเป็นวง ขอบหยักมน สูงได้ประมาณ 1 มิลลิเมตร
มีรังไข่อยู่ใต้วงกลีบ มี 4 ช่อง ในแต่ละช่องมีออวุลประมาณ 2-6
เม็ด ก้านเกสรเพศเมียเป็นรูปแถบ ยาวได้ประมาณ 10-11 เซนติเมตร ยอดเกสรเป็นตุ่มมน ๆ ขนาดเล็ก
เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดกว้างประมาณ 10-12 เซนติเมตร
ดอกจะบานในช่วงเวลากลางคืน และจะโรยในช่วงเวลากลางวัน
โดยจะออกดอกในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม



ผลจิกทะเล ผลเป็นผลแห้งไม่แตก
ลักษณะของผลเป็นรูปพีระมิดสี่เหลี่ยม ตรงโคนผลจะเว้า ผลเป็นสีเขียวและเป็นมัน
ผลเมื่อโตจะมีขนาดกว้างประมาณ 8.5-10 เซนติเมตร
และยาวประมาณ 8.5-11 เซนติเมตร
ผนังผลเป็นเส้นใยมีกากเหนียวหุ้มหนาคล้ายฟองน้ำ ทำให้ลอยน้ำได้คล้ายผลมะพร้าว
ส่วนผนังผลด้านในแข็ง ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด
เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร
(เมล็ดจิกทะเลมี fixed oil ได้แก่ olein, palmitin,
glycoside barringtonin 3.27%, baringronin, hydrocyanic acid, saponin)



สรรพคุณของจิกทะเล
1. ใบ ผล และเปลือก
ใช้เป็นยารักษาบรรเทาอาการปวดศีรษะ (ใบ, เปลือก, ผล)
2. เปลือกผลหรือเนื้อของผล
เป็นยาเสพติดชนิดหนึ่งที่ช่วยให้คนที่นอนไม่หลับนอนหลับได้ ถ้ารับประทานเข้าไปมาก
ๆ จะทำให้นอนหลับสบาย (เปลือกผล, เนื้อผล)
3. เมล็ดใช้เป็นยาขับพยาธิออกจากร่างกาย
(เมล็ด)
ประโยชน์ของจิกทะเล
1. ต้นจิกทะเลมีทรงพุ่มใบเป็นมันสวยงาม
ดอกมีกลิ่นหอม ใช้ปลูกเพื่อปรับภูมิทัศน์ ปลูกให้ร่มเงาได้
โดยนิยมนำมาปลูกในพื้นที่กว้าง เช่น สวนสาธารณะ ปลูกเป็นกลุ่ม ปลูกเป็นฉากหลัง
ปลูกตามริมทะเล ทนน้ำท่วมได้ดี
2. เปลือกผลหรือเนื้อของผลใช้เป็นยาเบื่อปลาได้
3. บางท้องถิ่นจะนำผลแห้งของจิกทะเลมาจุดเป็นยาไล่ยุง
เอกสารอ้างอิง : เว็บไซต์เมดไทย (MedThai). “โกงกางใบใหญ่”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://medthai.com/. [15 ก.ย. 2561].
( จัดทำโดย
นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี )
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น