โกงกางใบเล็ก
โกงกางใบเล็ก

โกงกางใบเล็ก
โกงกางใบเล็ก ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhizophora apiculata
Blume (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Rhizophora candelaria DC.) จัดอยู่ในวงศ์โกงกาง (RHIZOPHORACEAE) เช่นเดียวกับโกงกางใบใหญ่
สมุนไพรโกงกางใบเล็ก มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า โกงกาง
(ระนอง), พังกาทราย
(กระบี่), พังกาใบเล็ก (พังงา), โกงกางใบเล็ก
(ภาคกลาง) เป็นต้น
ต้นโกงกางใบเล็ก เป็นไม้ที่มักขึ้นในดินเลนค่อนข้างอ่อนและมีน้ำทะเลท่วมถึงแบบสม่ำเสมอ
บริเวณชายฝั่ง ริมคลอง และริมแม่น้ำที่มีน้ำทะเลท่วมถึง
และมักจะขึ้นอยู่ตามบริเวณด้านนอกของป่าชายเลน
ซึ่งการกระจายพันธุ์ก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ เช่น ที่อำเภอคุระบุรี
จังหวัดพังงา จะพบขึ้นกระจายทั่วไปถัดจากกลุ่มไม้ลำแพน
ส่วนป่าชายเลนในท้องที่อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด
มักจะพบขึ้นอยู่ลึกเข้าไปจากขอบป่าหลังเขตแนวของไม้แสมและไม้ลำพู เป็นต้น
นอกจากนี้ยังสามารถพบต้นโกงกางใบเล็กได้ในบริเวณริมฝั่งของเขาหินปูน หิวควอร์ตไซต์
และเขาหินเชลอีกด้วย โดยมีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ในประเทศอินเดีย ศรีลังกา
ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย

ลักษณะของต้นโกงกางใบเล็ก
ต้นโกงกางใบเล็ก จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 20-30 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านมาก เปลือกต้นเป็นสีเทาเกือบเรียบ เปลือกหนาประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร เมื่อทุบทิ้งไว้สักครู่ด้านในของเปลือกจะเป็นสีแสดอมแดงไปจนถึงสีเลือดหมู ส่วนกระพี้เป็นสีเหลืองอ่อน แก่นเป็นสีน้ำตาลแดง เนื้อไม้มีลักษณะเป็นมันวาว เสี้ยนไม้ตรง มีรอยแตกตามแนวตั้งมากกว่าแนวนอน และนิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้ฝักโดยตรง ด้วยการเก็บฝักที่แก่และสมบูรณ์ หรือจะเก็บฝักที่ร่วงหล่นในน้ำ (ฝักสมบูรณ์จะลอยน้ำ) เมื่อเก็บมาแล้วก็ควรนำไปปลูกทันที เพราะหากเก็บไว้นานความสามารถในการงอกจะลดลงไปตามระยะเวลาที่เก็บ (เปลือกไม้มีสารแทนนินปริมาณมาก ประมาณ 7-27% ของน้ำหนักเปลือกไม้)
รากโกงกางใบเล็ก
รากเป็นระบบรากแก้ว บริเวณโคนของลำต้นมีรากเสริมออกมาเหนือโคนต้นประมาณ 1-3 เมตร โดยรากที่โคนต้นหรือรากค้ำจุนลำต้นจะแตกแขนงไม่เป็นระเบียบ โดยมีหนึ่งหรือสองรากที่ทำมุมเกือบตั้งฉากกับลำต้นและหักเป็นมุมฉากลงดิน มีไว้เพื่อช่วยพยุงลำต้นให้ตั้งตรง
ใบโกงกางใบเล็ก
ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน ใบแต่ละคู่จะออกแบบสลับทิศทางกัน ใบหนาเป็นมัน ลักษณะเป็นรูปมนค่อนไปทางรูปใบหอก ปลายใบแหลมหรือเป็นติ่งเล็กสีดำมองเห็นได้ชัดเจน ส่วนโคนใบสอบเข้าหากันคล้ายรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 7-18 เซนติเมตรหรือเล็กกว่า ก้านใบยาวประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร ส่วนหูใบเป็นสีแดงเข้ม ยาวประมาณ 4-8 เซนติเมตร หุ้มใบอ่อนไว้ ใบเกลี้ยงทั้งหน้าและหลังใบและมีจุดสีน้ำตาล
ดอกโกงกางใบเล็ก
ออกดอกเป็นช่อแบบ Cymes ในช่อหนึ่งจะมี 2 ดอกย่อยอยู่ชิดติดกัน แตกออกมาจากซอกใบบริเวณปลายกิ่ง ที่ฐานของดอกย่อยจะมีใบประดับเป็นรูปถ้วยรองรับอยู่ เมื่อแห้งจะมีลักษณะแข็ง โดยกลีบเลี้ยงจะมี 4 กลีบ เป็นสีเขียวอมเหลือง แข็งอวบ ยาวประมาณ 10-14 เซนติเมตร โดยโคนกลีบจะติดกัน ส่วนปลายกลีบแยกออกเป็นแฉก ๆ ลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายกลีบแกลมและยังคงติดอยู่จนเป็นผล ส่วนกลีบดอกมี 4 กลีบ ลักษณะเป็นรูปใบหอกเป็นแผ่นบาง ๆ สีขาว มีความยาวประมาณ 8-11 มิลลิเมตร ไม่มีขนและร่วงเร็ว ดอกมีเกสรตัวผู้จำนวน 12 อัน ยาวประมาณ 0.6-0.75 เซนติเมตร โดยเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียจะอยู่ในดอกเดียวกัน ส่วนรังไข่เป็นแบบ Half-inferior มีอยู่ 2-3 ห้อง ซึ่งในแต่ละห้องจะมี 2 ออวุล โดยดอกโกงกางใบเล็กจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม


ผลโกงกางใบเล็ก
ผลเป็นแบบ Drupebaceous ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมคล้ายไข่ เมื่อผลแก่จะไม่แตก เปลือกของผลมีลักษณะหยาบสีน้ำตาล มีส่วนของกลีบเลี้ยงติดอยู่ ภายในหนึ่งผลจะมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด โดยเมล็ดจะไม่มีการพักตัว และจะเจริญต่อไปในขณะที่ผลยังติดอยู่บนต้น ซึ่งเมล็ดจะงอกส่วนของ Radicle แทงทะลุออกมาทางส่วนปลายของผล ตามด้วยส่วนของต้นอ่อน โดยจะเจริญยาวออกมาเรื่อย ๆ มีลักษณะปลายแหลมยาว เป็นสีเขียว หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า “ฝักโกงกางใบเล็ก” โดยฝักจะยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร ซึ่งผลจะแก่ในช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกรกฎาคม (มีรายงานว่าฝักของโกงกางจะแก่ไม่พร้อมกันทั่วประเทศ) และเมื่อผลแก่เอ็มบริโอจะหลุดออกจากเปลือกผลและปักลงดินเลนแล้วจะงอกทันที แต่ถ้าหล่นลงน้ำก็จะลอยไปตามน้ำและจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 2 เดือน เมื่อเกยตื้นและติดอยู่กับที่เมื่อไหร่ก็จะงอกทันที



สรรพคุณของโกงกางใบเล็ก
1. ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน
ด้วยการใช้เปลือกนำมาต้มกับน้ำดื่ม (เปลือก)
2. น้ำจากเปลือกใช้กินแก้อาการท้องร่วง
ช่วยแก้บิด (น้ำจากเปลือก) บ้างก็ว่าใช้ใบอ่อนรับประทานแก้ท้องร่วง (ใบอ่อน)
3. น้ำจากเปลือกใช้ชะล้างแผลและใช้ห้ามเลือดได้
(น้ำจากเปลือก) หรือจะนำเปลือกมาตำให้ละเอียด ใช้พอกห้ามเลือดจากบาดแผลสด
หรือจะใช้ใบอ่อนนำมาเคี้ยวหรือบดให้ละเอียดก็ใช้พอกแผลสดเพื่อห้ามเลือดได้เช่นกัน
อีกทั้งยังช่วยป้องกันเชื้อโรคได้ด้วย (ใบ, เปลือก)
ประโยชน์ของต้นโกงกางใบเล็ก
1. เนื้อไม้สามารถนำมาใช้ทำฟืนและถ่านที่มีคุณภาพดีได้
เนื่องจากเป็นไม้ที่ให้ความร้อนสูงและนาน (ให้ค่าความร้อนประมาณ 6,600-7,200 แคลอรี/กรัม) อีกทั้งยังมีขี้เถ้าน้อยและไม่เกิดสะเก็ดไฟเวลานำมาใช้ จึงเป็นที่นิยมของผู้ใช้โดยทั่วไป
2. เนื้อไม้โกงกางมีคุณสมบัติที่ดี
มีลักษณะเปลาตรง มีความแข็งแรงและความเหนียว
จึงสามารถนำมาแปรรูปเพื่อใช้ในงานก่อสร้างต่าง ๆ ทำกลอน หลังคาจาก รอด ตง
อกไก่ของบ้าน หรือใช้สำหรับทำเสา ทำไม้เสาเข็ม หรือไม้สำหรับค้ำยัน
ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ หรือใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ก็ได้
3. ฝักนำมาใช้ทำไวน์
4. เปลือกของต้นโกงกางใบเล็กและใบใหญ่เป็นแหล่งที่มีสารแทนนินและฟีนอลธรรมชาติที่มีราคาถูกที่สุด
ซึ่งสารชนิดนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ทำสี ทำหมึก ยา
ใช้ในการฟอกหนัง ใช้ทำกาวสำหรับติดไม้ ฯลฯ
5. เปลือกต้นให้น้ำฝาดประเภท Catechol
ซึ่งให้สีน้ำตาลที่สามารถนำไปใช้ย้อมสีผ้า แห อวน เชือก หนัง ฯลฯ
6. ป่าไม้โกงกางมีความสำคัญอย่างมากสำหรับสัตว์ทะเลจำพวก
กุ้ง หอย ปู ปลา เพราะเป็นที่วางไข่และฟักตัวอ่อน
เนื่องจากเป็นแหล่งที่มีสภาพสมดุลทางธรรมชาติสูงมาก
7. ป่าไม้โกงกางมีประโยชน์อย่างมากในการช่วยป้องกันรักษาชายฝั่งทะเลจากการกัดเซาะของกระแสน้ำ
และยังใช้เป็นแนวกำบังคลื่นลมที่เคลื่อนเข้ามาปะทะชายฝั่งได้อีกด้วย
วิดีโอเพิ่มเติมเกี่ยวกับโกงกางใบเล็ก
วิดีโอเพิ่มเติมเกี่ยวกับโกงกางใบเล็ก
เอกสารอ้างอิง : เว็บไซต์เมดไทย (MedThai). “โกงกางใบเล็ก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://medthai.com/. [5 ส.ค. 2561].
( จัดทำโดย นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี )
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น